วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

Photoscape

หากคุณกำลังมองหาโปรแกรมแต่งรูปแบบฟรีแวร์ PhotoScape ถือว่าเป็นโปรแกรมที่มีเครื่องมือสำหรับแต่งรูปภาพได้ดีเลยที่เดียวคุณสามารถใช้โปรแกรมนี้แก้ไขรูปภาพแต่งภาพได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อีกมากมายและลุกเล่นต่างๆให้เลือกใช้งานได้อีกมากมาย เช่น การปรับแสง การปรับสี การเรียงรูป ทำภาพสไลด์ภาพ ปรับแก้ไขตาแดง และอื่นๆ อีกมากมาย

photoscape1

ฟังก์ชั่นของโปรแกรม PhotoScape

สามารถจัดการรูปภาพ แสดงภาพ ดูรูปภาพในโฟลเดอร์
สามารถแก้ไขรูปภาพได้ เช่น ปรับสีภาพ ปรับขนาด ปรับแสง เพิ่มกรอบรูปภาพ เพิ่มข้อความลงในภาพ ลบตาแดง และอื่นๆ
สามารถรวมรูปภาพได้หลายๆรูป รวมมาอยู่ในไฟล์เดียว
สามารถวาดรูป รทัชภาพ ตกแต่งภาพ ด้วยเครื่องมือที่มีมาในโปรแกรม
สามารถหมุนรูปภาพตามแนวตั้งและแนวนอนได้ตามที่เราต้องการ
สามารถทำภาพเคลื่อนไหวได้โดยนำภาพหลายๆภาพมารวมกัน
สามารถแคพภาพจากหน้าจอมาได้
สามารถปรับซูมปรับขนาดภาพ
สามารถแปลงนามสกุลไฟล์ เช่น จาก JPG เป็น PGN
สามารถเปลี่ยนชื่อภาพหลายๆภาพในครั้งเดียว
อื่นๆ อีกมากมาย

จากที่กล่าวมาเรารองมาโหลดโปรแกรมนี้ไปใช้งานกันเลย


credit : www.it365day.com

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

ความรู้ด้านไอที : 10 ทักษะ IT ที่คน IT ควรมีติดตัว

ความรู้ด้านไอที : 10 ทักษะ IT ที่คน IT ควรมีติดตัว


เส้นทางของการพัฒนาเทคโนโลยีมีอยู่ตลอดเวลา และมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธุรกิจอยู่อย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น นั่นหมายความว่า คนที่มีทักษะ IT ที่เหนือกว่า คือคนที่ถือไพ่ เหนือคู่แข่ง
หลังจากที่ผมได้ทำงานเกี่ยวกับ IT มายี่สิบกว่าปี ผมบอกได้เลยว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นพึ่งเริ่มต้นมาจากปีที่แล้วนี่เอง ในการเปลี่ยนแปลง มีการเปลี่ยนแปลงเป็นเทคโนโลยีชั้นสูง ขณะที่มีบางครั้งก็มีการต่อต้านจากรัฐในการใช้งาน 
ไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ตาม IT ก็ยากที่จะคาดเดาในช่วงระยะเวลา 5 ปีนี้ แล้ว IT Pros. อย่างพวกเรา ควรปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร? มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ที่ผมจะนำเสนอเป็นทักษะที่ควรทราบ 10 ทักษะที่สำคัญในปัจจุบัน 

การทำความเข้าใจ Windows PowerShell เป็นอย่างดี จะช่วยให้ IT Pros. สามารถทำงานบนผลิตภัณฑ์ของ Microsoft ได้อย่างง่ายดาย ยกตัวอย่างเช่น ใน Exchange Server 2007 และ Exchange Server 2010 จะใช้ GUI-based ซึ่งรันอยู่บน Windows PowerShell นั่นหมายความว่า Admin สามารถสร้างฟอร์ม GUI ได้เอง ผ่าน Command Line หรือ ผ่าน Windows PowerShell Script
ความจริงคุณสามารถใช้ Windows PowerShell ในการดูแลระบบ Microsoft Server ได้หลายๆผลิตภัณฑ์ แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะ Windows PowerShell ในระดับสูงเกินไป เหตุผลในการเรียนรู้ Windows เป็นสิ่งที่จำเป็นเนื่องจากการจัดการ GUI-based ใน Microsoft Server รุ่นใหม่ๆจะเพียงพอต่อฟังก์ชั่นการดูแลระบบพื้นฐาน อะไรที่คุณต้องการนอกจากนี้ คุณจำเป็นต้องใช้ Command Line เพิ่มเติม ถ้ามีการสร้าง GUI เพิ่มเติม หากคุณต้องการเป็นแอดมินที่มีความเชี่ยวชาญอย่างหาตัวจับยาก คุณควรจะมีความรู้ในเรื่องของ Windows PowerShell เพิ่มขึ้นด้วย 
คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกๆองค์กรในปัจจุบันมีการใช้งาน Server Virtualization เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงการทำงานของ Server Virtualization จึงเป็นทักษะที่สำคัญของผู้ดูแลระบบหน้าใหม่
ในตลาดของ Server Virtualization มีผลิตภัณฑ์ออกมามากมาย และมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ทุกๆ ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในตลาดคุณแค่ทำความเข้าใจอย่างน้อยสองผลิตภัณฑ์ก็เพียงพอ คุณควรทำความเข้าใจและสามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้ได้ ซึ่งคุณควรทำความเข้าใจกับคำว่า Resource Allocation, หรือทำอย่างไรในการทำ Virtualize Server และควรดูแลระบบระบบ Virtual Server ให้พร้อมใช้งานตลอดเวลาได้อย่างไรก็เพียงพอแล้ว
Failover Clusteringได้มีการนำมาใช้งานอยู่หลายปี ถึงแม้ว่าจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีมาแทนที่ ซึ่งมีสองปัจจัยสำคัญในการให้ความสำคัญกับ Failover Clustering
อย่างแรกคือ องค์กรส่วนมาก มีการกำหนด SLAs (Service Level Agreement) ของแผนก IT มีทางเดียวที่ IT จะทำได้ตาม SLA คือต้องทำการพร้อมๆ กันหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน
อีกเหตุผลหนึ่ง คือ Failover Clustering เป็นส่วนที่สำคัญมากในการทำ Server Virtualization ในอดีต หาก Server ล้มเหลว อาจจะสร้างความน่ารำคาญมากกว่า แต่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่องค์กรใช้งาน Virtualization หากมีการล้มเหลวเพียง Server เดียวก็อาจส่งผลต่อหลายๆ Virtual Server ดังนั้น การป้องกันความล้มเหลวของ Server เป็นทักษะที่สำคัญที่คน IT Pros. ควรจะมีติดตัว
อีกหนึ่งทักษะที่มีความสำคัญต่อวงการ IT คือ ทักษะในการบริหารจัดการ SAN (Storage Area Network) ซึ่งควรเป็นส่วนหนึ่งของทักษะที่คน IT ควรมีในปัจจุบัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น SANs มีราคาที่สูงมาก อาจยากต่อการเรียนรู้ สำหรับผู้ดูแลระบบที่อยู่ในองค์กรที่มีขนาดเล็กที่ไม่สามารถใช้งาน SANs ได้
เนื่องด้วยเหตุผลนี้ จึงเริ่มมีการทำ Server ที่มีความสามารถด้อยกว่า เพื่อจะได้นำไปติดตั้งภายในเครื่องขององค์กรได้ แทนที่ Server หลายๆตัว ที่ต้องทำการเชื่อมต่อเพียงจุดๆเดียว ซึ่งตรงกับความเป็นจริงในการใช้งานที่มีจำนวนมาก และการทำ Server Virtualizationที่มากขึ้น 
Virtualization host ในองค์กรได้ทำการจัดเก็บใน Virtual hard drive ซึ่งอยู่บน Virtual Server ผ่านเครื่องที่มีการทำ Centralized Storage ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ใช้ SAN แต่การจัดการ Storage จะใช้เทคนิคที่คล้ายๆกัน เพียงแต่ SAN จะใช้ในสภาพแวดล้อมที่มีขนาดใหญ่เท่านั้น 
และอีกเหตุผลหนึ่ง SAN Storage ได้กลายมาเป็น Cloud Storage โดย Provider จะควบคุม SANs ให้ ถ้าคุณทำการสมัคร Cloud-based storage คุณอาจจะได้เรียนรู้ถึงการทำการจัดการ Storage ขั้นพื้นฐานก็เป็นได้ 
เพื่อนชาว IT Pros. หลายคนเกลียดหัวข้อการทำ Compliance ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา มีการนำ Compliance มาใช้งาน เพื่อตระหนัก และปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งในองค์กร และอุตสาหกรรม มาถึง ณ วันนี้ กลยุทธ์เหล่านั้นก็ยังไม่มีการนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
เหตุผลหนึ่งที่การนำกลยุทธ์นี้มาใช้งานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพเพราะว่าIT Pros. หลายคนหลีกเลี่ยงการที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดที่มีมากใน Compliance ภายใต้สภาวะการทำงานปัจจุบันที่มีความกดดันสูงอยู่แล้ว ดังนั้นสำหรับคน IT รุ่นใหม่ควรมีพื้นฐานของ IT Compliance อยู่บ้าง เพื่อรองรับต่อการปรับตัวขององค์กรในอนาคต
อีกเหตุผลหนึ่ง ทำไม Compliance ถึงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะว่าในตัวเนื้อหา ข้อกำหนดมีส่วนมากที่เกี่ยวข้องกับกฏหมาย ยกตัวอย่างเช่น บริษัททางด้านการเงินต้องการเปลี่ยนแปลงกฏใหม่ขององค์กร ซึ่งกฏใหม่ขององค์กรอาจจะส่งผลกระทบต่อคน IT โดยตรง ซึ่งยากที่จะปฏิเสธได้ ดังนั้นคน IT ควรมีความรู้ตรงนี้อยู่บ้างเพื่อเราจะได้ไม่เสียรู้ให้กับองค์กรที่คอยเอารัดเอาเปรียบเรา
ทักษะในการกู้คืน (Recovery) อ่านจะฟังดูแปลกๆอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตามเทคนิคในการ Recovery ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่คน IT Pros. ควรมี เช่น การทำ Disaster Recovery ซึ่งในหลายปีที่ผ่านมาการ Recovery ยังใช้เทปแบ็คอัพอยู่ 
แต่ ณ ปัจจุบัน เทคนิคได้มีการพัฒนาขึ้น เกือบทั้งหมดของ Microsoft Server จะมีความต้องการในการทำ Disaster เฉพาะของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น คุณใช้เทคนิคที่แตกต่างกัน ในการ Back up และ Restore บน Exchange Server และ SharePoint Server สำหรับผลิตภัณฑ์ Server เช่น Exchange, SharePoint และ SQL Server จะมี Rule ที่ซับซ้อนในการจัดการข้อมูลทั้ง Back up และ Restore ในการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ นอกเหนือจากนั้น เงื่อนไขในการจัดการสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นกับความต้องการ เช่น อาจจะทำบางส่วนใน failover cluster หรือ distributed deployment
ในความเป็นจริง IT Pros. ส่วนมาก อาจจะไม่เข้าถึงการ Backup และ Restore ของผลิตภัฯณ์ที่เกี่ยวกับ Server ที่หลากหลายมากนัก เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีความเข้าใจ ความต้องการเฉพาะของแต่ละผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญที่คน IT Pros. ควรมีอยู่ในตัว
เป็นเวลามานานแล้ว การทำ Traffic Management หมายความว่าการเซ็ตอัพ Firewall เฉพาะ Server และชนิดของ Traffic นั้นๆ เช่น การบล็อคเฉพาะบาง Traffic เพราะฉะนั้นการคอนฟิคคูเรชั่นจึงยังมีความสำคัญ แต่ Traffic Management มีความหมายที่แตกต่าง และการเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสนใจในอนาคตอันใกล้นี้
ในปัจจุบัน หลายๆ Application มีการทำงานบน Cloud Service นั่นหมายความว่า Application ไม่จำเป็นต้องติดตั้งที่เครื่องของคุณ เพียงแค่ขอให้องค์กรมีอินเทอร์เน็ตที่มีแบนด์วิตช์ที่มีคุณภาพ และเร็วเพียงพอ ดังนั้นเราจึงมีทางเลือกให้เลือกน้อยลงในการใช้งานแบนด์วิธ ซึ่งต้องขึ้นกับ Application ที่มีความสำคัญ หรือความเสี่ยงสูง ดังนั้นสิ่งที่สำคัญในการจัดการ Cloud-based Application จึงเป็นทักษะที่สำคัญที่คน IT Pros. ต้องเรียนรู้ พร้อมทั้งการจัดการ Traffic ให้มีความเหมาะสมด้วย
อีกทักษะหนึ่งที่ตอนนี้กำลังเป็นที่ต้องการคือ IPv6 ทาง Microsoft เราได้ทำการใช้ IPv6 มาตั้งแต่ Windows 2000 ออกมาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีการนำมาใช้งานแพร่หลาย เมื่อ 10 ปีที่แล้วเช่นกัน
หลังจากที่ยุคของ ดอทคอม ได้เข้ามาแทนที่ยุคเก่า ทำให้คนที่ต้องการเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตจำเป็นต้องมีหมายเลขในการระบุตัวตน ทำให้สตอเรจในการจัดเก็บ IP Address เกิดปัญหาขึ้นมา เชื่อหรือไม่! IP ได้ใกล้หมดอย่างรวดเร็ว ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเป็น IPv6 แต่ปัญหาดังกล่าวก็ถูกแก้ไขโดย NAT (Network Address Transition) Firewall
NAT Firewall ยังคงใช้แพร่หลายในปัจจุบัน แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดทางเทคโนโลยีของ NAT ทำให้เห็นทางตันที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ NAT ทำงานได้ดีภายใต้คอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายใน Firewall ซึ่งทำให้ยากต่อการเชื่อมต่อสู่โลกภายนอก โดยที่คนส่วนใหญ่คาดหวังว่าในอนาคตเราสามารถที่จะเชื่อมต่อได้ที่ใดก็ได้ที่มีคอมพิวเตอร์
IPv6 จะช่วยในเรื่องของการหมดไปของ IP ปัจจุบัน นอกจากนี้ IPv6 ได้นำคุณสมบัติของ Security เข้ามารวมอยู่ด้วยซึ่งใน IPv4 ไม่มีอยู่ในโปรโตคอล ยกตัวอย่างเช่น IPSecเป็นต้น
เนื่องจากสภาพการเศรษฐกิจในปัจจุบัน หลายๆองค์กรมีความสนใจในการทำ Online Meeting ซึ่งการทำ Online Meeting มีหลากหลายรูปแบบ ไม่ใช่เพียงค่า VoIP (Voice over IP) เพียงอย่างเดียว หรือการรวม Video Conference เพียงแค่นั้น ในกรณีแบบนี้ แอดมินควรจะมีทักษะในการอิมพลีเมนต์ระบบServer ภายในให้ระบบในการทำงานแบบ Collaborative อีกทั้งเรียนรู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับโทรศัพท์เพิ่มเติมอีกด้วย
ปีที่แล้ว ผมได้เขียนหนังสือชื่อ “Brien Posey’s Guide to Practical Telecommunications” ซึ่งเนื้อหาเกี่ยวกับแนวคิดในการผสมผสานเทคโนโลยี เช่น Exchange Server และ Office Communication Server ในการทำ Collaborative Conferencing Server ภายในบริษัท ขณะที่ผมเขียนหนังสือเล่มนี้อยู่ ผมได้ถูกบังคับให้เรียนรู้เกี่ยวกับด้านโทรศัพท์ เช่น โปรโตคอลพื้นฐาน หรือการกำหนดหมายเลข ในไม่กี่ปีที่ผ่านมาเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ เราก็ควรเรียนรู้พื้นฐานทั่วไปของเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ทักษะที่คุณควรมีท้ายสุด คือเรื่องเกี่ยวกับ Mobile Computing ถึงแม้ว่าเรื่อง Mobile Computing จะเป็นเรื่องที่เหมือนเดิมมาแล้ว 15 ปี แต่ในปัจจุบัน หลายๆคนให้ความสนใจและศึกษาอย่างจริงจัง ทำให้โทรศัพท์มือถือได้ถูกพัฒนา และออกรุ่นใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา และมีการพัฒนาในหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน
โทรศัพท์มือถือบางประเภทมีราคาที่แพง บางรุ่นก็มีความซับซ้อน และบางรุ่นก็ไม่มีอะไรซับซ้อนไม่มีการประมวลผลของ Application ซึ่งการใช้งานก็อาจมีการคิดอัตราที่มีราคาสูงเช่นกัน 
แต่ในปัจจุบัน เกือบทุกคนจะมีสมาร์ทโฟนใช้งาน สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆมีราคาที่ไม่แพง อีกทั้งมีการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น พร้อมด้วย Application ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานมากขึ้น และทักษะที่สำคัญของคน IT Pros. ที่ควรเรียนรู้คือเรื่องการใช้งานโทรศัพท์มือถือ กับเครือข่ายภายในองค์กร อีกทั้งความรู้ด้าน Security เพื่อปกป้องข้อมูลของพนักงาน และความลับของบริษัทควบคู่ไปด้วย

ขั้นตอนอัพเดตและตั้งค่า iOS8

ขั้นตอนอัพเดตและตั้งค่า iOS8

ios8-install-00สำหรับผู้ที่อยากจะอัพเดต iOS8 และ สำหรับผู้ที่คิดจะซื้อ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus วันนี้จะมาดูวิธีการอัพเดตและการตั้งค่าเริ่มต้นการใช้ iOS8 นี้กัน
ios8-install-01ก่อนอื่นย้ำอีกครั้งสำหรับรายชื่ออุปกรณ์ที่สามารถอัพเดตเป็น iOS 8 ได้คือ
  • iPhone ตั้งแต่รุ่นiPhone 4s ขึ้นไป
  • iPod Touch Gen 5
  • iPad ตั้งแต่รุ่น iPad 2 ขึ้นไป
โดยแนะนำให้ทำการ backup ก่อนทำการอัพเดตเพื่อไม่ให้ข้อมูลสูญหาย หรือแอพเสียหาย อ่านรายละเอียดคลิกทีนี่
ios8-install-02ทั้งนี้พื้นที่ว่างสำหรับ iOS8 ควรไม่ต่ำกว่า 5GB ขึ้นไป โดยการดาวน์โหลดนั้นขณะไฟล์ประมาณ 850 GB – 1GB กว่าๆ ขึ้นอยู่กับชนิดของอุปกรณ์ iOS โดยอัพเดตที่ Settings > เลือก General > เลือก Software Update แล้วแตะที่ Download and Install ซึ่งจะใช้เวลาดาวน์โหลดและติดตั้ง ประมาณ 1-2 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความเร็วเน็ตและอุปกรณ์ iOS ของคุณเอง
ios8-install-03เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วหากไม่มีปัญหาเลย จะเข้าสู่หน้าตาตั้งค่า iOS8 ซึ่งกรณี ผู้ใช้ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ก็จะเข้าหน้านี้เลย งั้นมาเริ่มต้นตั้งค่าก่อนใช้งาน iOS8 กันโดย เริ่มจาก เจอข้อความ Hello หรือ สวัสดี ให้ทำการ  slide to setup แล้วแตะที่ continue
ios8-install-04เข้าสู่หน้าจอ Location service  เพื่อระบุพิกัด  คุณสามารถเลือกเปิด หรือปิดก็ได้ เมื่อเลือกเรียบร้อยแล้วจะเข้าสู่ icloud ซึ่งใส่รหัส Apple ID เพื่อตั้งค่า icloud ได้  หรือจะแตะ Skip This Step เพื่อข้ามขั้นตอนไปก่อน
ios8-install-05ต่อมาใส่ passcode ก็ใส่รหัส passcode สี่หลัก เพื่อความปลอดภัย และจะใช้ในกรณีเปิดหน้าจอ iPhone จากนั้นจะขึ้น app analytics ว่าคุณจะแชร์ข้อมุลเทคนิคไปยังฝ่ายพัฒนาของ Apple หรือไม่ ซึ่งคุณสามารถเลือกตอบได้ios8-install-08เสร็จแล้วจะขึ้นข้อความ Welcome to  (ชืออุปกรณ์ iOS ) ให้แตะที่ Get Start เพื่อเริ่มเข้าสู่การใช้งาน iOS8 เป็นการเสร็จสิ้นการตั้งค่า iOS8

จีนผุดไอเดีย “สร้างทางเดินพิเศษสำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟน”

บ่อยครั้งบนทางเดินหรือทางเท้า หลายคนอาจต้องหงุดหงิดกับคนด้านหน้าที่เดินกดสมาร์ทโฟนไม่หยุด และไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แต่สำหรับในประเทศจีน ปัญหานี้อาจหมดไป เมื่อมีคนคิดว่าวิธีแก้ปัญหานี้ ด้วยการทำ “ทางเดินพิเศษสำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟน”
China
ทางเดินพิเศษสำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟนนี้เกิดขึ้นแล้วที่เมืองฉงชิ่งประเทศจีน โดยลักษณะของทางเดินจะถูกวาดเส้นแบ่งออกมาจากทางเดินทั่วไป ให้คนที่ใช้สมาร์ทโฟนสามารถเดินไปเล่นไปได้ และไม่รบกวนผู้อื่นที่เดินบนทางเท้า ความคิดนี้สามารถจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้คนอื่นๆที่เดินบนทางเท้าและไม่ต้องหงุดหงิดกับคนที่เดินเชื่องช้าอยู่ด้านหน้าขณะเล่นสมาร์ทโฟน และอาจป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่สามารถเกิดขึ้นกับผู้ที่ชอบกดสมาร์ทโฟนโดยไม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้านข้าง
ในตอนนี้เราก็มีทางพิเศษสำหรับรถประจำทางและจักรยานแล้ว และเพื่อตอบสนองการใช้งานสมาร์ทโฟนที่มากขึ้นในทุกวัน นอกจากในประเทศจีนแล้ว ในอนาคตเราอาจได้เห็นประเทศอื่นๆมีทางเดินแบบนี้บ้างก็ได้
ข้อมูลจาก Mashable

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

ปกติแล้ว Excel จะมีฟังก์ชั่นที่ชื่อว่า DATEVALUE ในการเปลี่ยนวันที่ในรูปแบบ Text ให้กลายเป็นรูปแบบ Date จริงๆ ที่เป็นตัวเลขอยู่แล้ว… แต่ฟังก์ชั่นนี้มีข้อจำกัดอยู่มาก คือ มันจะ Convert Text ได้แค่ในรูปแบบที่มันรู้จักเท่านั้น (ซึ่งมีไม่กี่แบบ คล้ายๆตอนที่เราพิมพ์ลงไปใน cell ปกติ แหละครับ ว่า 31/1/2014 หรือ 31-Jan-2014 หรือ 31-01-2014 แล้ว excel มันจะฉลาดแปลงเป็นวันที่ได้เอง)
ดังนั้น ถ้าหากเรามี Date ในรูปแบบแปลกไปจากที่มันรู้จัก เช่น 31012014 หรือ 20140131 อะไรแบบนี้ ฟังก์ชั่นนี้ก็จะเอ๋อไปเลย
convert_text_to_date
วันนี้ผมมีวิธีแก้มาแนะนำหลากหลายวิธีด้วยกันครับ ลองติดตามดูได้

วิธี 1 ตัด Text ออกเป็นส่วนๆ แล้วเชื่อม (ยาก)

Concept : ใช้พวกฟังก์ชั่น LEFT RIGHT MID หรือ Text to Column ช่วยตัดวันเดือนปีแยกออกจากกัน แล้วค่อยมาเชื่อมกันอีกทีด้วยฟังก์ชั่น DATE
สมมติว่า ต้นฉบับ อยู่ในช่อง A1  คือ “20140131″ (ปีเดือนวัน)
  • ตัดปี = LEFT(A1,4)
  • ตัดเดือน = MID(A1,5,2)
  • ตัดวัน =RIGHT(A1,2)
  • จับรวมด้วย DATE (year,month,day)
    • =DATE(LEFT(A1,4),MID(A1,5,2),RIGHT(A1,2))
สมมติว่า ต้นฉบับ อยู่ในช่อง A1  คือ “31012014″ (วันเดือนปี)
  • ตัดวัน =LEFT(A1,2)
  • ตัดเดือน = MID(A1,3,2)
  • ตัดปี = RIGHT(A1,4)
  • จับรวมด้วย DATE (year,month,day)
    • =DATE(RIGHT(A1,4),MID(A1,3,2),LEFT(A1,2))

วิธี 2 แปลง Format ของ Text ให้ DATEVALUE รู้จัก (ง่าย)

ในเมื่อฟังก์ชั่น DATEVALUE มันรู้จักรูปแบบแค่บางอย่าง เราก็ช่วยมันหน่อย โดยใช้ฟังก์ชั่น TEXT ช่วยแปลง FORMAT ให้
สมมติว่า ต้นฉบับ อยู่ในช่อง A1  คือ “20140131″ (ปีเดือนวัน)
  • ใช้ TEXT แปลง =TEXT(A1,”0000-00-00″)  <= ปี 4 หลัก เดือน 2 หลัก วันที่ 2 หลัก…
  • ใช้ DATEVALUE แปลงค่าให้เป็น Date จริงๆ =DATEVALUE(TEXT(A1,”0000-00-00″))
  • อาจได้ค่าออกมาเป็นตัวเลขธรรมดา ให้เปลี่ยน Format เป็น Date ก็จะเห็นเป็นวันที่ครับ
สมมติว่า ต้นฉบับ อยู่ในช่อง A1  คือ “31012014″ (วันเดือนปี)
  • ใช้ TEXT แปลง =TEXT(A1,”00-00-0000″) <= วันที่ 2 หลัก เดือน 2 หลัก ปี 4 หลัก
  • ใช้ DATEVALUE แปลงค่าให้เป็น Date จริงๆ =DATEVALUE(TEXT(A1,”00-00-0000″))
  • อาจได้ค่าออกมาเป็นตัวเลขธรรมดา ให้เปลี่ยน Format เป็น Date ก็จะเห็นเป็นวันที่ครับ

วิธีการกู้ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์

วิธีการกู้ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์


พื้นฐานโครงสร้างของฮาร์ดดิสก์นั้นก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก เพราะเป็นส่วนของจานเหล็กที่เคลือบสารแม่เหล็กเอาไว้ ทำให้มีคุณสมบัติสามารถเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กที่อยู่บนพื้นผิวจานได้ และนั่นก็คือที่มาของการบันทึกข้อมูล โดยการเปลี่ยนแปลงสนามเหล็กให้การเป็นรูปแบบข้อมูลดิจิตอล (0 หรือ1, เปิด หรือ ปิด) โดยหน้าที่นี้เป็นของหัวอ่าน-เขียน ซึ่งจะลอยอยู่เหนือแผ่นจานแม่เหล็กเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ดังนั้นข้อมูลที่เรียงกันอยู่บนจานแม่เหล็กในฮาร์ดดิสก์จึงมีปริมาณมาก มายมหาศาล


จะเอาอะไรมากู้ข้อมูล
เวลาที่เราลบข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ไปแล้ว ข้อมูลต่างๆ ก็ควรจะต้องหายไป แล้วคุณเคยสงสัยไหมครับ ว่าในเมื่อข้อมูลต่างๆ มันหายไปแล้ว แล้วมันถูกกู้คืนกลับมาได้อย่างไร ความจริงแล้วคอมพิวเตอร์นั้นแอบขี้โกงเราอยู่เหมือนกันครับ เนื่องจากสื่อบันทึกข้อมูลอย่างฮาร์ดดิสก์เองก็จะทำงานหรือเก็บบันทึกข้อมูล ด้วยการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กบนจานเพื่อบันทึกค่า ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการเขียน-อ่านอยู่พอสมควร ดังนั้นเพื่อความรวดเร็วในการลบข้อมูล ข้อมูลต่างๆ จึงไม่ได้ถูกลบไปจริงๆ แต่จะถูกมาร์กเอาไว้ในระบบไฟล์ว่าข้อมูลในส่วนนั้นๆ ถูกลบไปแล้ว ทั้งที่จริงแล้วข้อมูลก็ยังคงอยู่ที่เดิมของมันอยู่ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเวลาเราสร้างไฟล์ 1 กิกะไบต์ จึงช้ามาก ในขณะที่ลบไฟ 1 กิกะไบต์ นั้นเร็วจนแทบมองไม่ทันกันเลยทีเดียว

ดังนั้นแล้วข้อมูลต่างๆ ของเราก็อาจจะยังคงอยู่ในฮาร์ดดิสก์ที่เราใช้ นั่นหมายความว่าเรายังพอมีสิทธิที่จะแก้ไขสิ่งที่ทำผิดพลาดไว้ให้กลับคืนมา ดังเดิมได้อยู่ และนี่คือวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้คุณได้ข้อมูลสำคัญๆ คืนมา


1. การกู้ไฟล์ที่เราได้ทำการลบไป

บางครั้งเราก็อาจจะเผลอลบไฟล์งานเอกสารสำคัญๆ ของเราไปด้วย เมื่อสั่งลบไปแล้ว มันก็จะไปอยู่ในถังขยะหรือว่าเจ้า Recycle Bin แทน จริงอยู่ครับว่าไฟล์ที่ถูกลบไป มันจะถูกย้ายไปไว้ในถังขยะ แต่สำหรับคนที่ต้องการทำงานแบบรวดเร็วจนติดเป็นนิสัย ก็เลยลบข้อมูลอย่างรวดเร็ว (Shift+Del) งานนี้ข้อมูลของคุณไม่ได้อยู่ในขยะแน่นอนครับ นอกจากนี้กรณีที่คุณเผลอลบไฟล์ที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่ถังขยะจะสามารถรับ ได้ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ไฟล์ของคุณจะได้รับสิทธิในการลบข้อมูลไปเลยโดย ไม่ต้องผ่านถังขยะด้วยเช่นกัน

ขนาดถังของ Recycle Bin ที่คุณกำหนดไว้อาจจะไม่ใหญ่เพียงพอ ทำให้ไฟล์ถูกลบไปเลยก็ได้

วิธีการกู้ที่ง่ายที่สุดก็ต้องเป็นโปรแกรมประเภท Undeleted ทั้งหลายที่พอจะช่วยคุณได้ แต่ข้อจำกัดของโปรแกรมประเภทนี้ก็คือคุณจะต้องติดตั้งโปรแกรมก่อนที่คุณจะลบ ไฟล์นะครับ

หลักการทำงานของโปรแกรมประเภทนี้อยู่ที่การคอยสอดส่องว่าคุณมีการทำงานกับ ไฟล์อะไรบ้าง มีการลบไฟล์อะไรไปบ้าง แล้วมันจึงแอบเก็บข้อมูลของไฟล์ที่คุณลบเอาไว้เอง จะว่าไปมันก็เหมือนกับเป็นการทำหน้าที่ Recycle Bin อย่างลับๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งคราวนี้เราก็จะสามารถกู้คืนไฟล์ที่เราเพิ่งลบไปให้กับมาอยู่ในอ้อมอกของ เราได้เหมือนเดิมครับ

ข้อจำกัดของรูปแบบการกู้คืนข้อมูลแบบนี้ก็คือโปรแกรมที่ใช้สำหรับการ Undeleted นี้จะต้องติดตั้งโปรแกรมลงไปก่อน เพื่อที่จะจะได้ให้มันคอยตรวจสอบไฟล์ที่เราเพิ่งสั่งลบไป และคอยเก็บข้อมูลสำรองเอาไว้ให้ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อทำเช่นนี้แล้ว คุณก็จะต้องยอมเสียพื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ไปบางส่วนเพื่อแลกกับความปลอดภัยของ ไฟล์ บางโปรแกรมกินพื้นที่เยอะ เพราะใช้วิธีการแบ็กอัพไฟล์เอาไว้เลย หรือบางโปรแกรมอาจจะใช้วิธีการเก็บ Log การลบไฟล์เอาไว้ แล้วสั่งถอดมาร์กที่ระบบปฏิบัติการได้ทำไว้เพื่อให้รู้ว่าเป็นไฟล์ที่ถูกลบ ออกไปก็จะกินพื้นที่น้อยกว่า


2. การกู้ข้อมูลที่เกิดจากการฟอร์แมตไดรฟ์ไป (ข้อมูลอาจกลับมาไม่ครบลองอ่านดูนะครับ)

คงจะมีบ้างที่เรา ๆ ท่าน ๆ อาจเกิดฟอร์แมตผิดไดรฟ์ในขั้นตอนการติดตั้งวินโดวส์ หรือถ้าจะให้ดูใกล้ตัวกว่านั้นอาจจะเป็นกรณีที่ว่าคุณต้องการฟอร์ แมตลงวินโดวส์ใหม่อยู่แล้ว หลังจากสั่งฟอร์แมตและเตรียมตัวจะลงระบบปฏิบัติใหม่นั้นนึกขึ้นมาได้ว่ายัง มีไฟล์งานสำคัญที่ยังไม่ได้แบ็คอัปอยู่ ฟอร์แมตก็ทำไปแล้วจะทำยังไง แถมโปรแกรม Undeleted ก็ช่วยไม่ได้อีกต่างหาก

ส่วนนี้ต้องใช้โปรแกรมเข้าช่วยเช่นโปรแกรม GetDataBack แล้วพวกโปรแกรมมันกู้ได้ก็เนื่องจากข้อมูลต่างๆ ที่เราสั่งลบไปนั้นไม่ได้มีการถูกลบไปจริงๆ เพียงแต่จะเป็นการมาร์กเอาไว้ว่าข้อมูลนั้นๆ ถูกลบไปแล้ว การฟอร์แมตก็คล้ายๆ กัน โดยเฉพาะการฟอร์แมตแบบรวดเร็ว (Quick Format) ด้วยแล้ว มันก็เหมือนกับการลบไฟล์ทุกไฟล์ออกไปจากไดรฟ์นั้นเองครับ โปรแกรมพวกนี้มีหลายยี่ห้อก็เลือกใช้กันได้เลยครับ

ซึ่งทำให้มันสามารถมองเห็นข้อมูลที่ระบบปฏิบัติการมองไม่เห็นหรือก็คือข้อมูลที่ถูกลบไปแล้วนั่นเองครับ ข้อจำกัดของโปรแกรมประเภทนี้ก็มีอยู่เหมือนกันครับ เพราะใช่ว่ามันจะสามารถกู้ได้ทุกอย่างอย่างแรกเลยก็คือ มันไม่สามารถกู้ข้อมูลที่ถูกเขียนทับไปแล้วได้ เนื่องจากมันอาศัยการกู้จากเศษข้อมูลที่หลงเหลืออยู่ในดิสก์

อีกกรณีหนึ่งที่ไม่สามารถกู้คืนได้ก็คือกรณีของการ Low Level Format ซึ่งถือว่าเป็นการฟอร์แมตที่ล้างข้อมูลได้อย่างสะอาดที่สุด เพราะจะมีการจัดรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กใหม่ โดยใช้หลักการเขียนข้อมูลที่เป็น 1 และตามด้วย 0 ไปลงในทุกๆ Sector ข้อมูล ส่งผลให้ข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ว่างเปล่า หรือพูดง่ายๆ ก็คือถูกเขียนทับด้วยข้อมูลเปล่าทั้งหมดนั้นเอง


3.กู้พาร์ทิชันที่เสียหาย
หากวันไหนเราเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแล้วบูตไม่ขึ้น รวมถึงยังไม่สามาถเข้าไปเอาข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ออกมาได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเป็นไปได้ทั้งจากฮาร์ดแวร์ หรืออาจจะเป็นจากซอฟต์แวร์ซึ่งก็คือเป็นเพียงแค่โครงสร้างข้อมูลของไดรฟ์ หรือพาร์ทิชันเสียหาย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ยากเสียด้วย อันนี้เจอบ่อยเวลาใครเอาเครื่องมาให้ซ่อมสาเหตุส่วนมากจะเกิดจากการเครื่องดับไม่ได้ shutdown เวลาเข้าิวินโดวส์จะเข้าวนอยู่เรือย ๆ แล้วลองเข้าไปดู partition จะบอกว่า unknow มีทางแก้ครับ

ส่วนใหญ่ปัญหาที่เป็นสาเหตุทำให้พาร์ทิชันสำหรับเก็บข้อมูลของคุณเกิดปัญหา ขึ้นก็คือ การเกิดความเสียหายขึ้นกับระบบไฟล์ ซึ่งเจ้าระบบไฟล์นี้จะเป็นโครงสร้างข้อมูลที่ชี้ไปยังตำแหน่งของข้อมูลจริงๆ ที่อยู่บนไดรฟ์ คงพอนึกออกใช่ไหมครับว่าถ้าเกิดความเสียหายที่ตัวข้อมูล มันก็อาจจะทำให้ข้อมูลหายเท่านั้น แต่ถ้ามันเกิดความเสียหายที่ระบบไฟล์ ข้อมูลทั้งหมดภายในไดรฟ์ก็จะได้รับผลกระทบไปหมดเลย

เครื่องมือที่จะมาช่วยคุณในการแก้ไขปัญหานี้ก็จะเป็นซอฟต์แวร์ประเภทที่ใช้ ในการจัดการกับพาร์ทิชันอย่างเช่น Partition Magic ซึ่งนอกจากความสามารถในการสร้าง ลบ ย่อ ขยาย ขนาดของพาร์ทิชันแล้ว มันก็ยังสามารถจะซ่อมแซมโครงสร้างของพาร์ทิชันหรือระบบไฟล์ให้กับคุณได้อีก ด้วย

โปรแกรม Partition Magic โปรแกรมโปรคู่มือนักกู้ข้อมูล
โปรแกรม Active partition recovery เครื่องมือดีๆ ที่ใช้กู้พาร์ทิชันทั้งอันได้

นอกจากนี้ยังมีกรณีของการลบพาร์ทิชันผิด ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุที่ว่าแบ่งพาร์ทิชันไว้จำนวนมากแล้วเกิดความสับสนเอง หรืออาจจะเป็นเพราะชื่อไดรฟ์มันเปลี่ยนไปในแต่ละระบบปฏิบัติการ ก็ส่งผลให้ข้อมูลในนั้นหายไปหมดด้วยเช่นกัน ซึ่งในรูปแบบเช่นนี้ก็มีโปรแกรมที่สามารถกู้คืนพาร์ทิชันที่ถูกลบไปได้อยู่ เหมือนกัน เช่น Active Partition Recovery ซึ่งมันจะสแกนดูว่าเราเคยมีการสร้างพาร์ทิชันอะไรไว้ จากนั้นมันก็จะกู้คืนสถานะของพาร์ทิชัน ระบบไฟล์ และไฟล์ข้อมูลต่างๆ ที่เคยอยู่ในพาร์ทิชันให้กลับคืนมาเหมือนเดิม


4.กู้ฮาร์ดดิสก์ที่เป็น Bad Sector
เมื่อพูดถึง Bad Sector แล้ว นี่เป็นสิ่งที่ผู้ใช้หลายๆ คน เกลียดมันที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะมันกำลังจะทำให้ข้อมูลของคุณเสียหายได้ในไม่ช้า อย่างที่เราได้พูดถึงการทำงานของฮาร์ดดิสก์กันมาข้างต้นแล้ว จะเห็นว่าฮาร์ดดิสก์เป็นส่วนประกอบที่มีความบอบบางมากทีเดียว โดยเฉพาะส่วนของจานแม่เหล็กและหัวอ่าน ซึ่งอยู่ห่างกันเพียงแค่นิดเดียว เรียกได้ว่าเส้นผมคนเรายังลอดผ่านไม่ได้กันเลยทีเดียว ดังนั้นหัวอ่านก็อาจจะมีกระทบกับจานแม่เหล็กอยู่เหมือนกันในกรณีที่เกิดแรง สั่นสะเทือนมากๆ หรือฮาร์ดดิสก์ถูกแรงกระแทก นอกจากนี้การที่สารฉาบเคลือบผิวของจานแม่เหล็กนั้นเสื่อมสภาพ หรือสนามแม่เหล็กในบริเวณนั้นๆ ไม่สามารถบันทึกข้อมูล สิ่งเหล่านี้ย่อมก่อให้เกิด Bad Sector ขึ้นมาได้

ตามปกติเมื่อข้อมูลของเราโชคร้าย ไปอยู่ในส่วนที่เป็น Bad Sector พอดิบพอดี ก็จะทำให้ข้อมูลส่วนนั้นๆ ไม่สามารถอ่านได้เลย เนื่องจากฮาร์ดดิสก์จะพยายามเข้าไปอ่านส่วนที่เป็น Bad Sector นั้น ดังนั้นสิ่งที่พอจะสามารถทำได้ในการกู้ข้อมูลกลับคืนมาก็คือการใช้โปรแกรม ช่วยอย่างเช่นโปรแกรมสำหรับการสแกนดิสก์ ที่สามารถรองรับการทำ Surface Test ด้วย เพื่อที่มันจะได้มองหาโปรแกรม Bad Sector ได้ และโปรแกรมเหล่านี้ก็ยังสามารถที่จะกู้ข้อมูลที่อยู่ที่ Bad Sector ขึ้นมาได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับดวงด้วยเหมือนกันว่าไฟล์ที่กู้ขึ้นมานั้นเป็นไฟล์อะไร และจะต้องยอมรับด้วยไฟล์ที่กู้คืนมาได้คงจะไม่ได้มีความสมบูรณ์ 100% นะครับ พร้อมกันนี้โปรแกรมที่ว่านี้ยังช่วยมาร์กจุดของ Bad Sector เพื่อไม่ให้คอมพิวเตอร์มีการเขียนข้อมูลลงไปที่ Bad Sector อีก

โปรแกรมสำหรับทำ Low level Format มีหลายตัว แต่ที่เหมาะคือ ?ของผู้ผลิตเอง?

แม้ว่าเราจะสามารถกู้คืนข้อมูลที่อยู่ใน Bad Sector ขึ้นมาได้แล้ว และได้มาร์กจุดของ Bad Sector เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะไม่มีข้อมูลผู้โชคร้ายถูกเขียนลงไปอีก แต่ความน่ากลัวของมันก็ยังไม่หมด เนื่องจาก Bad Sector อาจจะมีอาการลุกลามเพิ่มขึ้นได้อีกจากจุดเดิม ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เราจึงควรจะต้องแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุดูเสียก่อน โดยสิ่งที่เราพอที่จะสามารถแก้ไขปัญหา Bad Sector ได้ด้วยตัวเองก็คือการทำ Low Level Format ครับ โดยการทำ Low Level Format นี้สามารถทำได้ผ่านทางซอฟต์แวร์พิเศษจากทางผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ที่คุณใช้ งานอยู่ โดยสามารถไปหาดาวน์โหลดได้ตามเว็บไซต์แต่ละยี่ห้อได้เลยครับ


5.กู้ฮาร์ดดิสก์แบบ USB

เดี๋ยวนี้สื่อบันทึกข้อมูลแบบที่เรียกว่า External Harddisk กำลังเป็นที่นิยมมากเลยนะครับ เนื่องจากปริมาณข้อมูลที่มากมายมหาศาลต่อวันที่ผู้คนต้องพกพากันในวันนี้ไม่ ใช่มีแค่เพลง MP3 ขนาดแค่กิกะไบต์กันแล้ว แต่อาจจะมีไฟล์วิดีโอหรือข้อมูลอื่นๆ ในระดับหลายๆ กิกะไบต์เลยก็ได้ ดังนั้นสื่อบันทึกข้อมูลอย่าง Flash Drive อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานของผู้ใช้บางคน ดังนั้น External Harddisk แบบ USB จึงเข้ามาเติมเต็มความต้องการให้ แต่ถ้าเกิดข้อมูลสูญหายขึ้นมาจะทำอย่างไรได้บ้าง

จริงๆ แล้วฮาร์ดดิสก์แบบ External ที่เรารู้จักกันมันก็เหมือนกับฮาร์ดดิสก์ที่ใส่อยู่ในเครื่องนั่นแหละครับ โดยถ้าเป็นแบบพกพาที่ไม่ต้องใช้ไฟจากอะแดปเตอร์ก็จะเป็นฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.5 นิ้วเหมือนกับของโน้ตบุ๊ก ดังนั้นเมื่อคุณเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์เหล่านี้เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว มันก็จะมองเหมือนเป็นเหมือนกับฮาร์ดดิสก์ธรรมดาตัวหนึ่งเลย
การกู้ข้อมูลของ External Harddisk นั้นไม่ได้มีความแตกต่างไปจากการกู้ข้อมูลภายในเครือซักเท่าไหร่ แต่อาจจะแบ่งกรณีความเสียหายได้ 2 กรณีคือ 1 เสียที่ตัวฮาร์ดดิสก์เอง ซึ่งก็จะคล้ายๆ กับที่กล่าวมาข้างต้นว่าคุณสามารถกู้ข้อมูลคืนได้ตั้งแต่การสแกนหาข้อมูลที่ ถูกลบไปจนไปถึงการแก้ไข Bad Sector ที่เกิดขึ้นกับฮาร์ดดิสก์ กับอีกส่วนหนึ่งก็คือความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวกล่องที่ใส่ฮาร์ดดิสก์

ซึ่งกล่องตัวนี้มีความสำคัญคือช่วยแปลงการเชื่อมต่อของฮาร์ดดิสก์ทีเป็น IDE หรือ SATA มาเป็นแบบ USB หรือ Firewire นั่นเอง ดังนั้นถ้ามันเกิดเสียหายขึ้นมาก็จะทำให้ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถใช้งานได้


6.ฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กเสีย จะกู้ได้อย่างไร
ถ้าเป็นฮาร์ดดิสก์ของเครื่องพีซีเสีย การแก้ไขก็คงจะไม่ลำบากมากนั้น เพราะคุณสามารถเปิดเครื่องออกมาเอาฮาร์ดดิสก์ไปปลั๊กกับเครื่องอื่นเพื่อกู้ ข้อมูลได้ ในขณะที่ฮาร์ดดิสก์โน้ตบู๊กนั้นจะมีความยุ่งยากมากกว่า เพราะนอกจากคุณจะแกะฮาร์ดดิสก์ออกมาได้อย่างยากลำบากแล้ว ฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กยังไม่เหมือนกับฮาร์ดดิสก์บนเครื่องพีซีอีกด้วย นอกจากมีขนาดที่เล็กกว่าแล้ว ยังมีพอร์ตสำหรับต่อสายที่ไม่เหมือนกันด้วย (ยกเว้นฮาร์ดดิสก์แบบ SATA ที่เหมือนกันและสามารถใช้งานร่วมกันได้) ดังนั้นคุณจึงต้องหาสายสำหรับแปลงสัญญาณจากฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กมาเป็น IDE สำหรับเครื่องพีซี หรืออาจจะแปลงไปเป็น USB เลยก็ได้เช่นเดียวกัน



ฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กกับเดสก์ท็อป มีความแตกต่างกันทั้งขนาดและพอร์ตการเชื่อมต่อ

สายแปลงฮาร์ดดิสก์ IDE เป็น USB ซึ่งสามารถใช้ได้ฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.5? และ 3.5?

แม้ว่าหัว IDE ของฮาร์ดิสก์โน้ตบุ๊กจะคล้ายกับเดสก์ทอป แต่ว่าก็ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ เพราะหัวมีขนาดเล็กว่า

อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มี External Harddisk อยู่แล้ว และเป็นแบบกล่องที่สามารถแกะเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ภายในได้ ก็คือการถอดฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กออกมาแล้วเอาฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กที่เสียใส่ กลับเข้าไปแทน ด้วยวิธีการนี้ก็จะเป็นเหมือนกับการกู้ข้อมูลจาก External Harddisk อย่างที่เราได้เคยพูดไปในหัวข้อก่อนหน้ายังไงล่ะครับ


7.จะกู้อย่างไรในเมื่อฮาร์ดดิสก์ Detect ไม่เจอ

ข้อผ่านๆ มาทั้งหลาย เป็นการกู้ข้อมูลที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์เป็นหลัก หรือไม่ก็มีการเปลี่ยนแปลงอินเทอร์เฟซด้วยอะแดปเตอร์เล็กน้อยซึ่งหมายความ ว่าสภาพฮาร์ดดิสก์ยังทำงานได้ดีอยู่ แต่สำหรับหัวข้อสุดท้ายนี้ เราจะพูดถึงกรณีที่ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถ Detect ได้เลย หรือพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือคอมพิวเตอร์มองไม่เห็นว่ามีฮาร์ดดิสก์ต่ออยู่ กับเครื่องคอมพิวเตอร์เลย แบบนี้ก็แย่นะซิครับ เพราะโปรแกรมอะไรก็คงไม่สามารถจะกู้ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์กลับมาได้เลย

สาเหตุของการที่ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถ Detect ได้นั้นมีอยู่หลายสาเหตุด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนเกิดจากแผงวงจรควบคุมที่อยู่กับตัวฮาร์ดดิสก์นั้นแหละ ครับ เพราะมันรับผิดชอบในการติดต่อและรับ-ส่งข้อมูลกับคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว ดังนั้นถ้าแผงวงจรเสีย ก็แปลว่าคุณก็จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ในจานแม่เหล็กได้อีกเลย ทางเดียวที่สามารถแก้ไขได้ก็คือทำให้แผงวงจรกลับมาทำงานได้ดังเดิม ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ซึ่งก็ไม่ได้หายไปไหน ก็จะกลับมาสู่อ้อมอกคุณอีกครั้ง




บริการดูแลคอมพิวเตอร์ อทีซัพพอร์ต ดุแลระบบเครือข่าย  วางระบบ network บริการดูแลระบบคอมพิวเตอร์  IT SUPPORT บริการดูแล IT โรงพิมพ์ งานพิมพ์ โรงพิมพ์สมุทรปราการ

ทำความรู้จักกับคอมพิวเตอร์

การจะแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์เราต้องรู้จักชิ้นส่วนต่างๆก่อน ว่ามีหน้าที่อย่างไรบ้าง!!

ส่วนประกอบภายใน 
Mainboard

                
เมนบอร์ด คือ อุปกรณ์หลักคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้าไว้ด้วยกัน โดยตัวเมนบอร์ดจะมี Chipset ที่เป็นตัวคอมคุมการส่งผ่านข้อมูลจากอุปกรณีหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่ง
BIOS

                

ไบออส หรือ CMOS เป็นหน่วยความจำที่มีหน้าที่ในการเก็บค่าต่างๆ ของเมนบอร์ดเอาไว้ โดยไบออสจะฝังอยู่ในเมนบอร์ด เราสามารถเข้าไบออสด้วยการกดปุ่มDel , F2 หรือ F10 ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของเมนบอร์ดที่ใช้
CPU

                

ซีพียู คือ หน่วยประมวลผลกลางเปรียบเทียบเสมือนสมองกลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่คำนวณคำสั่งต่างๆ และสั่งให้แสดงผลลัพธ์ออกมา โดยซีพียูเองจะมีชุดคำสั่งในการประมวลผลข้อมูล ตัวอย่างซีพียูที่โด่งดังในตลาดเช่น lntel หรือ AMD
VGA Card
                




การ์ดแสดงผล เป็นตัวที่ทำหน้าที่ในการประมวลผลกราฟฟิก เพื่อทำหน้าที่แสดงภาพขึ้นไปบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเรา
RAM

                

หน่วยความจำ เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลชั่วคราว เพื่อที่จะนำไปส่งให้ฮาร์ดดิส ซีพียูหรืออุปกรณ์อื่นๆ ต่อไป โดยข้อมูลที่เก็บอยู่ในแรมนั้นจะหายไปเมื่อมีการปิดเครื่อง
Harddisk

                

ฮาร์ดดิส เป็นส่วนสำคัญในการเก็บข้อมูลถาวรในส่วนใหญ่เครื่องคอมฯ แบบมาตรฐานนั้นจะสามารถต่ออุปกรณ์ฮาร์ดดิสได้มากที่สุดถึง ตัวด้วยกัน
Floppy disk Drive

                

ฟล็อปปี้ดิสก์ เป็นอุปกรณ์สำหรับอ่านหรือเขียนข้อมูลในแผ่นดิสไดรว์A
Combo Drive

                



คอมโบไดรว์ สามารถจะทำได้ทั้งเขียนแผ่น (Write) CD-R ลบ/เขียนแผ่น (Rewrite)  CD-RW และสามารถที่จะอ่านแผ่น CD-R , CD-RW, DVD ได้

ส่วนประกอบภายนอก


จอคอมพิวเตอร์ มีหลักๆ2แบบคือ จอแบบเก่าที่เรียกว่า CRT กับจอแบบใหม่ คือ LCD คับ

เคส เป็นส่วนที่ยึดอุปกรณ์ต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ โดยเคสจะมีลักษณะเป็นกล่องมาพร้อมกับพาวเวอร์ซับพลาย โดนอุปกรณีทั้งหมดจะถูกติดตั้งอยู่ภายในเคส

แฟลชไดรว์ เป็นหน่วยความจำแบบพกพาชนิดหนึ่ง (คล้ายๆmp3) ทำหน้าที่เช่นเดียวกับฮาร์ดดิส

โมเด็มเป็นอุปกรณ์สื่อสารอีกตัวทำหน้าที่เชื่อมต่อไปยังโลกอินเตอร์เน็ต ปัจจุบันมีมากมายหลายแบบ พร้อมกับความเร็วที่เลือกได้ เช่น Analog Modem , ADSL Modem , ISDN Modem และอื่นๆ

เครื่องพิมพ์ เป็นอุปกรณ์ในการพิมพ์ข้อมูลสู่กระดาษ โดยหลักๆแบ่งการทำงานเป็น แบบ แบบเข็ม,แบบพ่นหมึก,แบบเลเซอร์

แสกนเนอร์ เป็นเครื่องแปลงเอกสาร รูปภาพ วัตถุ ให้เป็นไฟล์รูปภาพที่นำไปใช้งานคอมพิวเตอร์ได้

โปรแกรม แบ่งได้ แบบคือ แบบระบบปฏิบัติการ ( Windows ต่างๆ ) และแบบโปรแกรมเสริมอื่นๆ ที่ทำงานบน Windows เช่น Word , Excel

ไมโครโฟน เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลแบบเสียงโดยแปลงสัญญาณเป็นดิจิตอลแล้วจึงส่งไปยังคอมพิวเตอร์

คีบอร์ด เป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็น ซึ่งจะรับข้อมูลจากการกดแป้นพิมพ์แล้วเปลี่ยนเป็นรหัสเพื่อส่งต่อไปกับคอมพิวเตอร์

เมาส์ คือ อุปกรณ์ช่วยให้การใช้งานง่ายขึ้น ด้วยการใช้เมาส์เลื่อนตัวชี้ไปยังตำแหน่งต่างๆ บนหน้าจอ

สรุป จากการที่บอก หลักๆ แล้วคอมพิวเตอร์มีอุปกรณ์ใช้งานไม่กี่ชิ้นหรอก หากรู้ว่าตัวไหนมีหน้าที่ทำอะไร ก็จะง่ายต่อการซ่อม

บทที่ 1    สาเหตุที่มักก่อให้เกิดปัญหา
รู้จักกับคอมพิวเตอร์ไปแล้ว คราวนี้มาดูสาเหตุบ้างว่าเกิดจากอะไร

ปัญหาจากฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์ต่างๆ


     ในส่วนแรกนี้ขอพูดถึงหัวใจหลักของคอมพิวเตอร์ ก็คือในส่วนของฮาร์ดแวร์ก่อนนะคับ โดยปกติแล้วปัญหาจากฮาร์ดแวร์ จะเกิดในช่วงแรกที่เพิ่งซื้อคอมฯ มาเท่านั้น(หลังจากใช้ได้เดือนถึงสองเดือน) หรืออีกทีก็ตอน หมดอายุการใช้งาน (หลังจากซื้อมา1ปีอาจจะเกิดตอนปีที่ หรือปีที่ 3)
     โดยทั่วไปอาการของปัญหาที่เกิดขึ้นจากฮาร์ดแวร์ ก็จะเป็นอาการที่ทำให้ไม่สามารถเปิดเครื่องคอมฯ ใช้งานได้เลย หรือเปิดเครื่องไประยะนึงแล้วเครื่องค้างไม่สามารถใช้งานต่อได้
     ส่วนใหญ่หากอยู่ในระยะประกันก็จะส่งเคลมจากร้านที่ซื้อมา หรือส่งเข้าศูนย์ที่นำเข้าอุปกรณ์นั้นๆ แต่ถ้าหมดประกันแล้วไม่ใช่อุปกรณ์ที่ซ่อมได้อย่างจอภาพหรือเครื่องพิมพ์ ก็จะไม่นิยมซ่อมเพราะเสียเวลามาก และในบางครั้งค่าซ่อมก็ราคาใกล้เคียงของใหม่อีกด้วย

ดูสาเหตุการณ์เกิดอาการเสีย

เมนบอร์ด
กระแสไฟฟ้าลัดวงจรและอาการไฟตก-ไฟดับ ดูจะเป็นตัวที่ทำให้เมนบอร์ดเสียได้ง่ายที่สุด รองมาก็เป็นฝุ่นและความร้อน สุดท้ายก็จะเป็นคุณภาพและยี่ห้อ ถ้ายี่ห้อไม่ดีเตรียมตัวได้เลย ส่วนใหญ่เกิิน ปีก็เสียซะแล้ว

การ์ดจอ
ปกติไม่ค่อยเสีย ถ้าเกิดการเสียจริงๆ ก็มาจากฝุ่นและความร้อนที่สูง และอีกสาเหตุคือไฟตก-ไฟดับ

การ์ดเสียง
อันนี้เป็นอุปกรณ์ที่ไม่ค่อยเสีย ถ้าจะเสียก็คือหมดอายุการใช้งานของมันแล้ว และอีกสาเหตุคือไฟตก-ไฟดับ

แรม
ถ้าเสียมักจะเสียมาตั้งแต่ต้น ไม่ค่อยเสียในช่วงการใช้งานซักเท่าไร แต่ที่มักเจอปัญหาคือ ความไม่เข้ากันของแรมที่มีอยู่ก่อนแล้ว หรือไม่เข้ากับเมนบอร์ด ฉะนั้นควรเลือกแรมที่มีผู้ใช้งานเยอะๆ อย่าง Kingston , Corsair เพราะจะเข้าได้ดีกับเมนบอร์ดและอุปกรณ์อื่นๆ ที่จะต้องทำงานสัมพันธ์กัน

ฮาร์ดดิส
ตัวนี้มักจะเสียจากการกระแทก ไฟตก-ไฟดับ ฝุ่นและอายุการใช้งาน ถ้าไม่ขยับเขยื้อนไปมาบ่อยๆ โอกาสเสียก็น้อย ยิ่งไม่มีไฟตก-ไฟดับ ก็ยิ่งทำให้ใช้งานได้ยาวขึ้น

ซีดีรอม
ส่วนใหญ่เสียเพราะใช้งานมากเกินไป หัวอ่านหมดอายุการใช้งาน

ฟล็อปปี้ดิสไดรว์
เสียยากมาก ถ้าไม่เจออาการลัดวงจรของไฟฟ้า ก็แทบใช้งานได้ตลอด จะมีอาการเสียก็มักจะเสียหลังจาก ปีที่ใช้งาน

ซีพียู
ชิ้นนี้หาทางเสียยาก แต่ต้องระวังเพราะปกติจะมาจากความร้อนในขณะที่ใช้งาน (พัดลมไม่ทำงาน) จนทำให้เกิดอาการไหม้ของซีพียูได้ อีกปัญหาคือไฟฟ้าลัดวงจร

จอภาพ
สำหรับจอภาพเกิดจากความเสื่อมของหลอดภาพ จนทำให้เกิดการผิดเพี้ยนของสีอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งใช้ยี่ห้อไม่ดีอาการเสียจะปรากฏเร็วมาก

เครื่องพิมพ์
อาการเสียอยู่ที่หัวพิมพ์เป็นหลัก ถ้าเป็นแบบอิงค์เจ็ตเกิดจากการอุดตัน ถ้าเป็นหัวเข็มก็มักจะเข็มหัก

ปัญหาจากซอฟแวร์

     อย่างที่บอกนะครับปัญหาที่เกิดจากฮาร์ดแวร์เราไม่สามารถแก้อะไรได้มาก ส่วนใหญ่หากสามารถเปิดเครื่องขึ้นมาได้แล้ว ก็จะเป็นปัญหาของตัวซอฟแวร์นั้นเองเนื่องจากว่าซอฟแวร์เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมฮาร์ดแวร์ต่างๆ และเป็นส่วนที่มักจะเกิดปัญหามากที่สุด การแก้ไขทำได้ยากมากเช่นกันและปัญหามีหลายรูปแบบเลยล่ะคับ ดังนั้นผู้ซ่อมจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ ความรู้ต่างๆช่วยกันจึงทำได้
     ในส่วนนี้ก็ขอแยกปัญหาทางด้านซอฟแวร์ออกเป็นสองส่วนนะคับ คือ ปัญหาจากตัวระบบปฏิบัติการหลักหือพวก Windows และปัญหาที่เกิดจากโปรแกรมต่างๆ หรือตัวที่เรียกว่า Application program นั่นเอง

ปัญหาจาก Window
Windows ถือเป็นส่วนที่รองรับโปรแกรมทุกอย่าง จึงเป็นตัวปัญหามากที่สุด โดยส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาที่กว้างและยากต่อการแก้ไข แต่เคราะห์ดีที่ Windows เองยังมีเครื่องมือต่างๆ ไว้คอยช่วยเราแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น

โปรแกรมต่างๆ ภายในเครื่อง
หลังจากแก้ปัญหาของ Windows ไปหมดแล้ว แต่ยังไม่สามารถใช้งานได้ ก็เห็นจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากโปรแกรมอื่นๆ เองแล้ว ที่พบบ่อยมากที่สุดก็จะเป็นปัญหาโปรแกรม Error อันเนื่องมาจากโปรแกรมไม่สมบูรณ์ พบได้กับโปรแกรม copy ทั้งหลายวิธีแก้ไขนั้นลองติดตั้งใหม่ดูก่อน ถ้าไม่หายก็ต้องหาตัวติดตั้งใหม่

ไดรเวอร์ปัญหาตัวสุดท้าย

     ปัญหาอีกอย่างคือไดรเวอร์ ตัวไดรเวอร์ทำหน้าที่บอกคอมฯว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้คืออะไรทำหน้าที่อะไรถ้าจะคิดเปรียบเทียบไดรเวอร์ก็เหมือนคุณครูนั่นเอง
     การเลือกใช้ตัวไดรเวอร์ต้องดูตัว Windows ด้วย เช่น เราไม่สามารถใช้ไดรเวอร์ของ Windows 98 บน Windows 2000 ได้เพราะอาจทำให้ Windows เกิดอาการเสียหายไม่สามารถใช้งานต่อไปได้หรือหากใช้ไดรเวอร์ไม่ตรงกับรุ่นก็ไม่สามารถใช้งานอุปกรณ์นั้นๆได้เช่นกัน
     นอกจากนี้หากไดรเวอร์ไม่สมบูรณ์ก็อาจทำให้ Windows ของคุณมีปัญหาไปด้วยก็ได้ งานอาจถึงขั้นตอนติดตั้ง Windows กันใหม่ทีเดียว

วิธีการแก้ไขปัญหา

     จะขอแยกเป็น ส่วนนะคับ คือ แก้ไขปัญหากับอุปกรณ์ และแก้ไขปัญหากับโปรแกรมต่างๆ คับ

แก้ไขปัญหากับอุปกรณ์
     ส่วนใหญ่ต้องตรวจเช็คอุปกรณ์ให้ดีว่าเสียหรือไม่ โดยการถอดเข้าถอดออกหรือนำไปเสียบกับเครื่องอื่น ๆ ถ้ายังไม่สามารถใช้งานได้หรือตรวจสอบแบบละเอียดไม่ได้ ให้นำไปร้านที่ซื้ออุปกรณ์มาตรวจสอบให้ หากมีปัญหาก็ส่งเคลมอุปกรณ์ชิ้นนั้นทันทีหากมีประกันอยู่ แต่ถ้าหมดประกันแล้ว งานนี้ซื้อใหม่ดีกว่าคับยกเว้นว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นเป็นจอภาพ,เครื่องพิมพ์,ลำโพง,เคส พวกนี้ซ่อมได้ราคาไม่แพงด้วย
     เทคนิคที่หาอุปกรณ์เสียที่ง่ายที่สุดก็คือ การถอดอุปกรณ์ออกมาเสียบเข้าไปใหม่ให้แน่น ส่วนอีกเทคนิคคือหาอุปกรณ์ที่มั่นใจว่าทำงานได้มาสลับสับเปลี่ยนกับเครื่องคุณดู ค่อยๆสลับไปทีละตัว หากสลับตัวไหนแล้วทำงานได้ก็สามารถสรุปได้ว่าอุปกรณืชิ้นนั้นมีปัญหา ให้เปลี่ยนหรือแก้ไขต่อไป ง่ายๆ แค่นี้แหละคับ แต่ใครไม่มีอะไหล่แนะนำยกไปให้ช่างดีกว่า
     อีกวิธีคือ การวิเคราะห์อาการคับ เช่น หากเปิดเครื่องแล้วไม่มีภาพปรากฏบนหน้าจอ ก็ให้คิดว่าอะไรบ้างที่จำเป็นต่อการแสดงภาพ กรณีนี้ก็มีเมนบอร์ด ซีพียู แรม และการ์ดจอ สันนิษฐานก่อนได้เลยว่าเป็นหนึ่งใน ชิ้นนี้แหละคับ ที่เสียหายลองถอดอุปกรณ์เข้า - ออกหรือสลับสับเปลี่ยนดู ก็จะพบปัญหาแน่นอน

แก้ไขปัญหากับโปรแกรม
    หากโปรแกรมไหนมีปัญหาก็ให้ลบทิ้งไป แล้วค่อยติดตั้งลงไปใหม่ เพื่อให้โปรแกรมสมบูรณ์พร้อมการใช้งาน แต่ถ้ายังไม่หายก็ให้เปลี่ยนตัวติดตั้งโปรแกรม หากยังไม่หายแสดงว่าตัว Windows อาจมีปัญหากับโปรแกรมที่คุณติดตั้ง หากต้องการใช้งานโปรแกรมนั้นจริงๆ ลองเปลี่ยนตัว Windows ไปเป็นเวอร์ชั่นอื่นๆ ดู  หรือลงWindows ทับอีกรอบเพื่อแก้ไขส่วนที่เกิดปัญหา เพียงแค่นี้ก็สามารถแก้ไขปัญหากับตัวโปรแกรมได้แล้ว 

อุปกรณ์ที่ต้องใช้สำหรับแก้ไขปัญหา
ไขควง ควรอยู่ใกล้ๆกับเคสเพราะหากมีปัญหาอุปกรณ์เมื่อใด ก็จะสามารถไขเปิดดูอุปกรณ์ดังกล่าวได้ทันที
แผ่นบู๊ตเครื่อง อันนี้ต้องมีเสมอมักจะเรียกอีกอย่างว่าแผ่น Startup Disk สามารถทำได้จาก Windows 98 หรือ Me สำหรับบู๊ตเครื่องหากเครื่องบู๊ตไม่ได้
แผ่นติดตั้ง Windows เป็นอีกตัวที่ต้องมีติดไว้เสมอ เพราะหากเข้าเครื่องไม่ได้หรือ Windows เกิดมีปัญหา จะได้ติดตั้งใหม่ได้เลย
แผ่นติดตั้งโปรแกรมต่างๆ คงจะหงุดหงิดไม่น้อยหากติดตั้ง Windows ใหม่แล้วไม่มีโปรแกรมสำหรับใช้งาน เตรียมเอาไว้ รับรองได้ใช้งานบ่อยๆ แน่นอน

บทที่ ไขปัญหาฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์ต่างๆ
บทนี้เริ่มด้วยการแก้ปัญหาพื้นฐานกันก่อนซึ่งคือฮาร์ดแวร์


ข้อความแสดงข้อผิดพลาดเมื่อเปิดเครื่อง

ปกติเครื่องคอมพิวเตอร์จะตรวจสอบการใช้งานอุปกรณ์ของเครื่อง โดยเทคนิคที่เรียกว่า POST ซึ่งหากประสบปัญหาคอมพิวเตอร์จะคืนค่ากลับมาเป็นตัวเลขและชื่อสั้นๆเป็นหน้าจอดำ เราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ข้อมูลและแก้ปัญหาได้ โดยโค๊ดต่างๆมีความหมายดังนี้

- CMOS CHECKSUM ERROR
เกิดจากไบออสมีปัญหา ส่วนใหญ่จะเป็นตั้งแต่เริ่มใช้เครื่องใหม่ๆแล้ว หากใช้มาระยะหนึ่งก็คือถ่านไบออสใกล้หมดแล้ว เปลี่ยนถ่านใหม่ก็หาย

- FLOPPY DISK (S) FAIL (80)
ไดร์ มีปัญหามองไม่เห็นให้ตรวจเช็คว่าเสียบสายถูกต้องและตรวจเช็คว่าไดร์ ทำงานได้อยู่ ด้วยการนำไปต่อกับการใช้คอมเครื่องอื่นๆ ดู

- FLOPPY DISK (S) FAIL (40)
ไดร์ ที่เลือกไว้ไม่ตรงกับที่ใช้งานอยู่ ให้เปลี่ยนค่าในไบออสให้ถูกต้อง

- HARD DISK DISK(S) FAIL (80)
ฮาร์ดดิสตรวจเช็คไม่ได้ หาไม่เจอ ให้ตรวจเช็คว่าเสียบสายถูกต้องหรือยัง ถ้าเสียบถูกต้องแล้วให้ลองไปเสียบกับเครื่องอื่นดู เพื่อเช็คว่าฮาร์ดดิสเสียหรือไม่

- HARD DISK DISK(S) FAIL (40)
ตัวควบคุมฮาร์ดดิสที่อยู่บนบอร์ด (IDE0 , IDE1)

- HARD DISK DISK(S) FAIL (20)
เริ่มไม่สามารถใช้งานฮาร์ดดิสได้ ปัญหานี้อาจเกิดขึ้นจากเมนบอร์ดไม่สามารถรองรับฮาร์ดดิสที่เลือกใช้ มักเกิดขึ้นจากเอาเมนบอร์ดรุ่นใหม่ไปใช้กับฮาร์ดดิสรุ่นเก่ามากงานนี้ให้เปลี่ยนฮาร์ดดิสเป็นรุ่นใหม่เพื่อใช้งาน

- HARD DISK DISK(S) FAIL (08)
บางส่วนของฮาร์ดดิส(Sector)เสียหาย ทำให้ไม่สามารถใช้งานฮาร์ดดิสลูกนั้นได้อีก หากมีประกันเหลืออยู่ให้ส่งเคลม

- Keyboard error or no keyboard present
ไม่สามารถค้นหาคีบอร์ดพบ ให้ตรวจสอบดูว่าได้เสียบสายแล้วหรือยังถ้าเสียบแล้วยังเป็นอยู่ ลองนำไปเสียบกับเครื่องอื่นดูถ้าหากใช้ได้แสดงว่าช่องต่อเมนบอร์ดเสีย ถ้าใช้ไม่ได้แสดงว่าคีบอร์ดเสีย

- Memory test fail
เกิดความผิดพลาดกับหน่วยความจำ(Ram) ให้เปลี่ยนแรม

ทำไมหน้าจอไม่ติดแต่มีเสียงร้องเท่านั้น

     ในกรณีที่เปิดเครื่องคอมฯขึ้นมาแล้วไม่ปรากฏอาไรเลยและยังมีเสียงร้องน่ารำคาญใจดังขึ้นมาอีก ฮาร์ดแวร์ของคุณมีปัญหาแล้วคับ โชคดีนะคับที่มีเสียงเตือน เสียงเหล่านี้บอกเหตุได้ โดยหลักๆแล้วเสียงที่ดังจะมี แบบซึ่งแต่ละแบบจะบอกปัญหาดังนี้

เสียงปี๊บยาว ครั้งและสั้น ครั้งสลับกัน
อันนี้จะบอกว่าส่วนของการ์ดแสดงผลมีปัญหา วิธีแก้ไขปัญหาคือให้ถอดออกแล้วเสียบเข้าไปใหม่ หากยังไม่หายให้เปลี่ยนการ์ดจอตัวใหม่แค่นี้ก็หายแล้วคับ

เสียงปี๊บยางครั้งเดียววนไปเรื่อยๆ
อันนี้จะบอกว่าส่วนของหน่วยความจำ(Ram) มีปัญหาวิธีแก้ปัญหาคือ ถอดออกแล้วเสียบใหม่ หากมีRamมากกว่า ตัว ให้สลับแถวดูหรือถอดออกจนเหลือตัวเดียวแล้วเปิดเครื่องเพื่อทดสอบว่าอาจมี Ram ตัวใดตัวหนึ่งเสียรึป่าว

หน้าจอเป็นเส้นหรือมีสีเพี้ยน

หากว่าเปิดเครื่องขึ้นมาแล้วจอภาพของคุณยังเป็นสีเขียวหรือมีเส้นปรากฏอยู่ก็ให้แก้ไขดังนี้

ตรวจดูจอภาพที่สีเพี้ยน
1.1 ลองขยับสายจอภาพที่ต่อกับการ์ดจอ
1.2 หากไม่ดีขึ้นจอภาพอาจเสีย ให้ส่งร้านที่ซื้อมา ( หากมีประกันอยู่ )
1.3 หรือส่งร้านซ่อมจอภาพเพื่อตรวจเช็คอาการและแก้ไขต่อไป

ตรวจดูหน้าจอภาพสั่น
2.1 ลองย้ายลำโพงออกห่างจากจอภาพ ( คลื่นแม่เหล็กจากลำโพงอาจจะลบกวน )
2.2 ดูว่ามีคอมฯ เครื่องอื่นตั้งอยู่ใกล้ๆกันหรือเปล่า ลองย้ายที่ให้ห่างกัน
2.3 ขจัดคลื่นรบกวนโดยเข้าเมนูของจอภาพ แล้วเลือกคำสั่ง DEGAUSS

มองไม่เห็นฮาร์ดดิสตัวใหม่

หลังจากที่เพิ่มฮาร์ดดิสเรียบร้อยแล้วแล้วปรากฏว่าเครื่องมองไม่เห็นฮาร์ดดิสตัวที่เพิ่งต่อเข้าไปใหม่ ให้เข้าไปตั้งค่าไบออสให้รู้จักกับฮาร์ดดิสนั้นด้วย โดยสามารถทำได้ดังนี้

เข้าไบออส
1.1 เมื่อเปิดเครื่องให้กดเข้าไบออสโดยกดปุ่ม <Del> ที่คีบอร์ด
1.2 เลื่อนไปที่เมนู Advanced
1.3 ใช้ปุ่มลูกศรที่คีบอร์ดเลือกไปที่คำสั่ง IDE Configguration แล้วกดปุ่ม Enter
1.4 จะเห็นสถานะที่ไบออสแจ้งว่าไม่สามารถหาฮาร์ดดิสตัวใหม่ได้

ตั้งค่าใหม่
2.1 กดปุ่ม Enter ภายใต้ Primary IDE Slave
2.2 เปลี่ยนจาก Not Detected ให้เปลี่ยนเป็น Hard Disk
2.3 หลังจากนั้นให้กดปุ่ม F10 ที่คีบอร์ดเพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลง
2.4 เลือกไปที่ OK แล้วกดปุ่ม Enter ก็เรียบร้อยแล้วคับ

CD-ROM ไม่ทำงาน

เมื่อเปิดเครื่องแล้วมองไม่เห็นซีดีรอมที่ได้ติดตั้งเพิ่มไป ส่วนใหญ่เป็นเพราะการตั้งค่า Jumper หรือเสียบสายไม่แน่น ให้ลองตรวจเช็คตามนี้ดูคับ

ตรวจสอบค่า Jumper
1.1 ตรวจดู Jumper ว่าต้องกำหนดอย่างไร
1.2 จากนั้นตั้ง Jumper ให้เป็น Slave

ตรวจเช็คสาย
2.1 เช็คดูว่าสายไฟเสียบแน่นหรือยัง
2.2 เช็คสายแพว่าด้านสีแดงกับสายไฟติดหรือไม่ ถ้าไม่ติดให้เสียบสายใหม่

ไดร์ ไฟค้าง

หากเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว เห็นไฟที่บนไดร์ ติดค้างอยู่ รอแล้วรออีกก็ไม่ยอมดับ นั่นแสดงว่าเราเสียบสายผิดแล้วล่ะคับ วิธีแก้ไขก็ไม่ยากคับลองสลับสายดูดังนี้

เสียบสายใหม่
1.1 ปิดเครื่องแล้วเปิดฝาเคสเครื่องคอมฯ ออก
1.2 สลับสายแพให้แถบสีแดงชนกับสายไฟ

ลืมรหัสผ่านที่ตั้งไว้ใน BIOS

ยังจำได้ไหมคับว่า BIOS หรือ CMOS นั้นเป็นส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่ในการเก็บค่าทุกอย่างที่ใช้งานของเมนบอร์ดเอาไว้ ถ้าหากตั้งรหัสผ่านใน BIOS แล้วลืมให้ทำตามดังนี้

สลับจั้มเปอร์ให้เป็น Clear CMOS
1.1 ปิดฝาเครื่อง/ถอดปลั๊กให้เรียบร้อย แล้วเปิดฝาเคสเครื่องคอมฯ
1.2 ย้าย Jumper ในเมนบอร์ดให้ไปในตำแหน่ง Clear BIOS ( ให้ดูคู่มือเมนบอร์ดประกอบ )

สลับจั้มเปอร์แล้วให้รอสักครู่
2.1 เมื่อสลับจั้มเปอร์มาในตำแหน่ง Clear CMOS แล้ว จากนั้นให้รอประมาณ วินาที แล้วค่อยย้ายจั้มเปอร์กลับไปที่เดิม
2.2 เปิดฝาเคสเครื่องฯ แล้วลองเข้าไบออสใหม่อีกครั้ง
2.3 หากยัง Clear BIOS ไม่ได้หรือรหัสผ่านยังอยู่ ก็ให้ถอดถ่านที่เมนบอร์ดออกไว้สักพัก แล้วค่อยใส่กลับตามเดิม

ปรับเวลาเมนบอร์ดให้ตรง

จะเห็นได้บางครั้งหลังจากเราปรับเวลาการใช้งานที่ Windows ไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่มีการบู๊ตเครื่องใหม่ เวลาอาจจะเกิดการคลาดเคลื่อนได้ ถึงจะปรับจากในWindows ให้ตรงแล้วก็ตาม

ปรับเวลาที่ไบออส
1.1 เปิดเครื่องคอมฯ ขึ้นมาแล้วกดเข้าไบออสโดยกดปุ่ม Del เพื่อไปตั้งค่าในไบออส
1.2 ปรับเวลาที่แท็ป Main โดยกดปุ่ม + หรือ -
1.3 กดปุ่ม F10
1.4 เลื่อนลูกศรมาที่ OK เป็นการบันทึกเวลาใหม่เรียบร้อย

CMOS Error

เวลาเปิดเครื่องมาแล้วปรากฏข้อความว่า " CMOS Error  Please press F1 to setup" , "CMOS checksum error - Defaults loaded" หรืออะไรคล้ายอย่างนี้ส่วนมากเกิดจากแบตเตอรี่หรือที่เรียกว่า "ถ่านไบออส" หมด ทำให้ไบออสไม่สามารถเก็บค่าได้ เลยเกิดข้อความ Error ขึ้นมา การแก้ไขเพียงเปลี่ยนถ่านไบออสก็หายแล้ว

ไฟฮาร์ดดิสไม่ยอมติด

หากฮาร์ดดิสทำงานแต่ไฟไม่ยอมติด ก็ไม่ตกใจไปหรอก งานนี้ไม่มีอาไรเสียปัญหาอยู่ตรงที่ไม่ได้เสียบสายจากเครื่องเคสคอมฯ ไปที่เมนบอร์ดเท่านั้นเอง ลองมาดูขั้นตอนการแก้ไขดังนี้

เสียบสายฮาร์ดดิสใหม่ (H.D.D LED)
หาคู่มือเมนบอร์ดรุ่นนั้นๆมาก่อน แล้วเปิดหน้าที่เป็นรูปเมนบอร์ดแล้วหาตัวที่เขียนว่า H.D.D-LED
1.1 ถอดปลั๊กออกแล้วเปิดฝาเคสเครื่องคอมฯ ออกมา
1.2 หาสายไฟที่เขียนว่า H.D.D-LED
1.3 เสียบลงเมนบอร์ดตามคู่มือ
1.4 ปิดฝาเคสเป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อย

ไม่สามารถใช้สวิตเปิด-ปิดเครื่องได้
ปกติอาการนี้เกิดจากไม่ได้เสียบสายไฟจากเคสคอมฯ ลงไปที่เมนบอร์ดให้ถูกต้อง ซึ่งจุดที่เสียบก็จะอยู่ในส่วนที่เสียบสาย H.D.D-LED ด้วย ดังนั้น หากเกิดปัญหาลักษณะนี้ก็ให้เตรียมคู่มือเมนบอร์ดไว้ก่อนเลย จากนั้นให้เปิดที่เป็นรูปเมนบอร์ดแล้วหาตัวที่ว่า G-Switch หรือ POWER SW และทำตามขั้นตอนดังนี้

เสียบสายใหม่
1.1 ถอดปลั๊กแล้วเปิดฝาเคสออกมา
1.2 นำสายไฟ POWER SW เสียบลงเมนบอร์ดตามคู่มือ
1.3 ปิดฝาเคสเครื่องคอมก็เสร็จเรียบร้อย


ขอบคุณข้อมูลจาก http://intranet.gs.kku.ac.th/km/index.php?option=show&id=5